บทที่ 10 การติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัส Symantec Antivirus
10.1 บทนำ
โปรแกรม PC-Cillin 2000 เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ไม่ไปโหลดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์มากนัก ไม่ทำให้เครื่องช้าลง และการอัพเกรดข้อมูลไวรัส ทำได้ง่ายและรวดเร็วมากและที่สำคัญสามารถทำการตรวจสอบไวรัสที่มีมากับอีเมล์ได้ด้วย ในบทนี้จะมาเรียนการติดตั้งและใช้งานโปรแกรม PC-Cillin
10.2 การติดตั้งโปรแกรม PC-Cillin
ใส่แผ่น CD-Rom ที่มีโปรแกรม PC-Cillin แล้วดับเบิ้ลคลิกเปิดไฟล์ pcc2k.exe เพื่อเริ่มขั้นตอนการติดตั้ง
รูปที่ 1 แสดงการเริ่มติดตั้งโปรแกรม PC-Cillin
หลังจากเรียกไฟล์สำหรับทำการติดตั้งจะได้หน้าจอตามภาพ กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป
รูปที่ 2 แสดงเงื่อนไขการใช้งานโปรแกรม
จะได้หน้าจอตามรูปภาพที่ 2 กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป
รูปที่ 3
โปรแกรมจะทำการตรวจสอบว่าไม่มีไวรัสอยู่ในระบบ กด OK เพื่อทำงานต่อไป
รูปที่ 4
ตรงนี้จะเป็นส่วนของการสร้าง McAfee Emergency Disk ซึ่งถ้าเราสร้าง จะสามารถนำแผ่น Disk นี้ไปบูทเครื่องได้แบบไม่มีไวรัส ซึ่งแนะนำว่า ควรจะมีการทำแผ่นนี้ เก็บไว้ สำหรับในกรณีตอนที่เครื่องมีปัญหาจริงๆ หรือเครื่องของเพื่อนๆมีปัญหา จะได้นำแผ่นนี้ ไปแก้ไขให้กับเครื่องของเพื่อนได้ และ ทำเสร็จ ควรจะทำการ write protect แผ่นไว้ด้วย ( ทำโดย สังเกตที่แผ่น diskette จะมีปุ่มดำๆ ให้เลื่อนไปอีกข้างหนึ่ง )
หากไม่ต้องการสร้างก็กด Cancel
รูปที่ 5
กด NO เพื่อทำงานต่อไปโดยไม่ต้องการอ่านรายละเอียด
รูปที่ 6
บอกว่าไฟล์เริ่มต้น autoexec.bat ของเครื่องจะเปลี่ยนไป กด Next
รูปที่ 7
หลังจากที่ทำการติดตั้งจนเสร็จ จะต้องทำการบูทเครื่องใหม่ก่อนนะครับจึงจะเริ่มต้นใช้งานได้ กด Finish เพื่อ Restart Computer
หลังจากที่ได้ติดตั้ง McAfee แล้วควรจะทำการตรวจสอบด้วยนะครับว่าได้ทำการ Enable การป้องกันไว้ด้วยหรือเปล่า โดยกดที่ไอคอนของ McAfee ที่ Menu Bar ด้านล่างขวา
รูปที่ 8
ในส่วนของ System Scan Status ให้เป็น Enable หรือขึ้นแบบตามรูปครับ (อย่ากดที่ Disable)
10.3 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสของ PC-Cillin 2000 เพื่อที่จะรู้จักกับไวรัสตัวใหม่ๆ
10.3.1 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสแบบ Automatic
ในที่นี้ จะขอแนะนำวิธีการ อัพเดตข้อมูลไวรัสแบบ Automatic เนื่องจากว่าเป็นวิธีการที่ง่าย และรวดเร็วครับ วิธีการเริ่มต้นจาก เปิดโปรแกรม PC-Cillin 2000 ขึ้นมาก่อน
หลังจากเปิดโปรแกรมแล้ว เลือกกดที่ปุ่ม Update และเลือกที่ Update Now
โปรแกรมจะแสดงรายการของข้อมูลไวรัสที่มีอยู่ ว่ามีการอัพเดตล่าสุดถึงรุ่นไหน ให้กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการตรวจสอบและอัพเดต
ในขั้นตอนนี้ หากเรายังไม่ได้ทำการ Register จะมีเมนูแบบนี้ขึ้นมาก็ให้ใส่ชื่อและอีเมล์ของท่านลงไป หรืออาจจะใส่ชื่อหลอก ๆ ไว้แบบตัวอย่างก็ได้ และกดที่ปุ่ม Register Now (ถ้าหากทำการ Register ไปแล้วจะไม่มรเมนูนี้ขึ้นมา)
จากนั้น โปรแกรมจะทำการตรวจสอบข้อมูลของไวรัสที่มีอยู่ และข้อมูลของไวรัสบนเว็บไซต์ ว่าเป็นข้อมูลล่าสุดหรือไม่ หากไม่ใช่ล่าสุด ก็จะแสดงรายละเอียดและเริ่มต้นการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสตัวล่าสุด เพื่อทำการอัพเดตเอง กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการอัพเดตต่อไป
โปรแกรมจะเริ่มต้นการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสล่าสุด รอสักพักหนึ่งก่อนครับ เมื่อโปรแกรมดาวน์โหลดข้อมูลมาเรียบร้อย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนของการ อัพเดตข้อมูล เพื่อให้โปรแกรมรู้จักกับไวรัสตัวใหม่ ๆ ได้แล้ว
นอกจากนี้ ตัวโปรแกรม PC-Cillin 2000 ยังสามารถทำการตั้งเวลาของการ อัพเดตข้อมูลไวรัสได้ด้วย วิธีการคือ เลือกกดที่เมนู Update Later และเลือกตารางเวลาที่ต้องการให้โปรแกรม ทำการอัพเดตแบบอัตโนมัติตามต้องการ
ตัวอย่างของหน้าจอการตั้งเวลาการอัพเดตข้อมูลไวรัสแบบ ตั้งเวลาการอัพเดตตามต้องการ
10.3.2 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสแบบ Manual
สำหรับการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัส และนำมาทำการอัพเกรดแบบ Manual ก็ทำได้โดยการเข้าไปดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสตัวใหม่ๆ ที่เว็บไซต์ http://www.antivirus.com/ จากนั้นเลือกดาวน์โหลด Scan Engine และ Pattern File ของไวรัสตัวใหม่ล่าสุดมาทำการ Unzip และนำมา Copy ทับลงไปใน Folder ของโปรแกรม PC-Cillin 2000 หรือ C:\Program Files\Trend PC-Cillin 2000 โดยทำการลงทับของเก่าได้เลย ทั้งในส่วนของ Scan Engine และ Pattern Data เมื่อทำการ Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่อีกครั้ง โปรแกรมก็จะอ่านข้อมูล และสามารถรู้จักไวรัสใหม่ๆ ได้ทันที
สรุปท้ายบท
ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมที่มีการพัฒนาขึ้นมาเพื่อหวังผลประฌโยชน์ทางใดทางหนึ่งจากบุคคลที่ติดไวรัส
ปัจจุบันไวรัสคอมพิวเตอร์มีความรุนแรงมากกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งไวรัสในปัจจุบันไม่เพียงแต่จะทำลายซอฟต์แวร์เท่านั้น ยังทำลายฮาร์ดแวร์ภายในเครื่องได้อีกด้วย การอัพเกรดแอนตี้ไวรัสเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดไวรัสได้มาก เนื่องจากถึงแม้โปรแกรมแอนตร้ไวรัสจะมีความสามารถมากเพียงใดก็ไม่สามารถที่จะไล่ตามไวรัสที่เพิ่มขึ้นมาได้อย่างมากมายในแต่ละวันได้
13.1 บทนำ
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันราคาของเครื่องจะลดลงมามากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงกับอยู่ในชั้นร้อยหรือหลักพันบาทเพราะยังมีราคาอยู่ในหลักหมื่นบาทดังนั้นผู้ที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อมาใช้งานจึงจำเป็นจะต้องดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซื้อมาให้อยู่ในสภาพดีที่สุดนานเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียให้กับการซ่อมเครื่อง
13.2 สิ่งที่เป็นอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์
สิ่งที่ถือว่าเป็นอันตรายสามารถทำร้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เสียหายก่อนถึงเวลาอันควรนั้น ได้แก่
1. ความร้อน
ได้แก่ ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในเครื่องคอมพพิวเตอร์เองและภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจาก คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงาน เป็นสาเหตุให้มีกระแสไฟฟ้าที่เป็นพลังงานให้กับอุปกรณ์ภายในบางส่วนสูญเสีออกมาในรูปของ ความร้อน ซึ่งความร้อนนี้เองเป็นสาเหตุของความเสียหายกัยอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
2. ฝุ่นผง
อาจทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เพราะฝุ่นสามารถเกาะพื้นผิวชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น แผงวงจรภายใน เมื่อนานๆ ไปจะเคลือบหนาขึ้นและยึดติดแน่นจนทำให้เป็นฉนวนกั้นความร้อนทำให้แผงวงจรนั้นไม่สามารถระบายความร้อนได้ซึ่งเป็นผลเสียต่อ เครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง เพราะฉะนั้น ควรกำจัดฝุ่นผงภายในเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้ในบ้านควรทำความสะอาด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้ภายในสำนักงาน ควรทำความสะอาดทุก 6 เดือน
หรือแม้แต่พัดลมระบายความร้อน ถ้ามีฝุ่นมากๆ ก็อาจทำให้ทำงานติดขัด การระบายความร้อนทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร วิธีการแก้ปัญหานี้ คือ ถ้าเกิดเป็นห้องที่มีการติดเครื่องปรับอากาศแล้ว ต้องสำรวจว่ามีเครื่องกรองอากาศเพื่อลดผุ่งละอองในห้องแล้วหรือยัง สำหรับห้องที่ไม่ใช้ห้องปรับอากาศ อาจจะให้อุปกรณ์หรือผลิตภัณฆ์ทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น แปรง และชุดดูดฝุ่นเล็กๆ ซึ่งจะช่วยยืด อายุการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้เลยทีเดีียว แต่ที่สำคัญไม่ควรนำเครื่องดูุดฝุ่นสำหรับใช้ในบ้านเรือนหรือในรถยนต์มาดูดฝุ่นคอมพิวเตอร์เด็ดขาด เพราะนอกจากฝุ่นแล้วชิ้นส่วนบางส่วนชิ้นบนเมนบอร์ดอาจดูดไปด้วย
3. แม่เหล็ก
ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง แต่จะสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลที่อยู่แผ่นดิสก์หรือแม้กระทั่งฮาร์ดิสก์ ได้ ซึ่งอาจถึงขั้นไม่ได้เลย จอภาพก็เป็นแหล่งกำเนิดแรงแม่เหล็กด้วย เช่นกัน ดังนั้น ถ้าผู้ใช้เผลอวางแผ่นดิสก์ไว้ใกล้จอภาพก็อาจทำให้ข้อมูลภาบใน ดิสก์เสียหาย ลำโพงก็เป็นแหล่งกำเนิดแม่เหล็กได้เช่นกัน รวมถึงมอเตอร์ที่ภายในเครื่องพิมพ์ก็เป็นแหล่งกำเนิดแม่เหล็กได้เช่นกัน
4. น้ำและของเหลว
เป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย สาเหตุเพราะ น้ำและของเหลวจะเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้หลายทาง ด้วย กันทางที่ดีควรหาพลาสติกมาคลุมเครื่องไว้เมื่อไม่ใช้งาน
5. กระบวนการเกิดสนิม
ตัวการที่ก่อให้เกิดสนิมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งภายนอกและแผงวงจรภายใน ได้แก่
- เกลือและเหงื่อ
- น้ำ
- อากาศ (ที่มีกรดซัลฟูริก กรดเกลือ หรือกรดคาร์บอนิกส์)
ปัญหาใหญ่ ก็คือ การเกิดสนิมที่อุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอาจทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้หรือทำงานผิดพลาด เพราะฉะนั้น จึงควรระมัดระวังสิ่งที่จะทำให้เกิดสนิม
13.4 การใช้งาน Defrag ฮาร์ดดิสก์ เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการทำงานของระบบ
การทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์หรือ Disk Defragmenter ก็คือการทำการจัดเรียงข้อมูลของไฟล์ต่าง ๆ ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ให้มีความต่อเนื่องหรือเรียงเป็นระบบต่อ ๆ กันไป ประโยชน์ที่จะได้รับคือ ความเร็วในการอ่านข้อมูลของไฟล์นั้น จะมีการอ่านข้อมูล ได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นถ้าหากมีไฟล์ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ที่มีการเก็บข้อมูลแบบกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อต้องการอ่าน ข้อมูลของไฟล์นั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ก็จะต้องมีการเคลื่อนย้ายไปมาเพื่อทำการอ่านข้อมูลจบครบ หากเรามีการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์ แล้วจะทำให้การเก็บข้อมูลจะมีความต่อเนื่องกันมากขึ้น เมื่อต้องการอ่านข้อมูลนั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์จะสามารถอ่านได้ โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายหัวอ่านบ่อยหรือมากเกินไป จะทำให้ใช้เวลาในการอ่านได้เร็วขึ้น
ที่จริงแล้ว ยังมีโปรแกรมของบริษัทอื่น ๆ อีกหลายตัวที่สามารถทำการจัดเรียงข้อมูลให้มีความต่อเนื่องกันได้ เช่น Speeddisk ของ Norton และอื่น ๆ อีกมาก แต่ในที่นี้จะขอแนะนำหลักการของการใช้โปรแกรม Disk Defragmenter ที่มีมาให้กับ Windows
13.5 ข้อแนะนำก่อนใช้โปรแกรม Disk Defragmenter
เพื่อให้การใช้งาน Disk Defragmenter มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนการเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter ควรจะเรียกโปรแกรม Walign ก่อนเพื่อการจัดเรียงลำดับของไฟล์ที่ใช้งานบ่อย ๆ ให้มาอยู่ในลำดับต้น ๆ ของฮาร์ดดิสก์ครับ โดยที่โปรแกรม Walign จะทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลการใช้งานไฟล์ ที่มีการเรียกใช้บ่อย ๆ ไว้ และนำมาจัดการเรียงลำดับ ให้อยู่ในส่วนแรก ๆ ของฮาร์ดดิสก์ ดังนั้นการที่เราเรียกโปรแกรม Walign ก่อนการทำ Disk Defragmenter จะเป็นการเพิ่มความเร็วของการอ่านข้อมูลได้อีกทางหนึ่ง โปรแกรม Walign จะอยู่ใน Folder C:\WINDOWS\SYSTEM\Walign.exe ครับ เปิดโดยการเข้าไปใน My Computer และเลือกไฟล์
รูปที่ 1 การเลือกไฟล์ Walign.exe
รูปที่ 2 ไฟล์ Walign กำลังทำงาน
โปรแกรมจะเริ่มต้นการ Tuning up Application เมื่อเสร็จแล้วจึงทำการ Defrag ต่อไป
13.6 ข้อควรจำก่อนทำการ Defrag
สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการทำ Disk Defrag คือต้องปิดโปรแกรมต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่ในขณะนั้นให้หมดก่อน เช่น Screen Saver, Winamp หรือโปรแกรมอื่น ๆ ที่จะต้องทำให้มีการอ่าน-เขียน ฮาร์ดดิสก์ บ่อย ๆ เพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่ฮาร์ดดิสก์มีการอ่าน-เขียนข้อมูล จะทำให้โปรแกรม Disk Defragment เริ่มต้นการทำ Defrag ใหม่ทุกครั้ง ทำให้การทำ Defrag ไม่ยอมเสร็จง่าย ๆ หรืออาจจะใช้วิธีเข้า Windows แบบ Safe Mode โดยการกด F8 เมื่อเปิดเครื่องเพื่อเข้าหน้าเมนู และเลือกเข้า Safe Mode แทนก็ได้
13.7 การเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmeter
เรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter โดยการกดเลือกที่ Start Menu เลือกที่ Programs และเลือก Accessories เลือกที่ System Tools และเลือก Disk Defragmenter ดังรูปที่ 3
รูปที่ 3 การเรียกใช้งานโปรแกรม Defrag
เลือกที่ Disk Defragmenter เพื่อรียกใช้โปรแกรม Defrag
เลือกที่ Drive ที่ต้องการทำ Defrag และกด OK เพื่อเริ่มต้นการทำ Defrag หรืออาจจะเลือกที่ Settings... เพื่อทำการตั้งค่าต่าง ๆ ก่อนก็ได้
Rearrange program files... เลือกถ้าต้องการให้มีการจัดเรียงลำดับการเก็บข้อมูลของไฟล์ Check the drive... เลือกถ้าต้องการให้มีการตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ก่อนการทำ Defrag This time only เลือกถ้าต้องการให้การตั้งค่าข้างบน มีผลเฉพาะการเรียก Disk Defragmenter ในครั้งนี้เท่านั้น Every time I degragment... เลือกถ้าต้องการเก็บค่าที่ตั้งไว้ให้ใช้ตลอดไปโดยไม่ต้องเข้ามาเลือกใหม่เมื่อเลือกได้แล้วก็กด OK
เมื่อกด OK ก็จะเริ่มต้นการทำ Disk Defragment ซึ่งระยะเวลาที่ใช้ จะค่อนข้างนานมากนะครับ ประมาณ 1-4 ชม.ทีเดียว ดังนั้นก็นาน ๆ ทำสักครั้งก็พอ ไม่ต้องทำบ่อยนัก ถ้าสงสารฮาร์ดดิสก์ที่ต้องมีการทำงานที่หนัก ๆ มากครับ โดยส่วนตัวผมแนะนำว่า ถ้าไม่มีการลงโปรแกรมต่าง ๆ บ่อยนักก็ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่ถ้าหากรู้สึกว่าฮาร์ดดิสก์ทำงานช้าลงไป ก็ลองทำดูสักครั้ง
ข้อควรระวังในการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์
ขณะที่กำลังทำการ Defrag หากต้องการยกเลิกการทำงาน จะต้องกดที่ Stop เท่านั้น ห้ามปิดเครื่องหรือกดปุ่ม Reset เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของคุณอาจจะสูญหายได้
สรุปท้ายบท
คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ีความละเอียดอ่อนมากในการใช้งาน การบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลาก็จะช่วยยืดอายุการทำงานของคอมพิวเตอร์ไปได้มาก การคิดค่าดูแลรักษาคอมพิวเตอร์จะคิดแบบคร่าวๆ ที่ 10 เปอร์เซนต์ ของราคาซื้อ เช่น ถ้าซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาราคา 20,000 บาท ก็จะเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลต่อปีเป็นเงิน 2,000 บาท ซึ่งในเงิน 2,000 บาท นี้ จะรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เกี่ยวกับซอฟต์
13.7 การเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmeter
เรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter โดยการกดเลือกที่ Start Menu เลือกที่ Programs และเลือก Accessories เลือกที่ System Tools และเลือก Disk Defragmenter ดังรูปที่ 3
รูปที่ 3 การเรียกใช้งานโปรแกรม Defrag
เลือกที่ Disk Defragmenter เพื่อรียกใช้โปรแกรม Defrag
รูปที่ 4 แสดงไดร์ฟที่ต้องการจะทำการ Defrag
รูปที่ 5 แสดงการตั้งค่าก่อนทำการ Defrag
Rearrange program files... เลือกถ้าต้องการให้มีการจัดเรียงลำดับการเก็บข้อมูลของไฟล์ Check the drive... เลือกถ้าต้องการให้มีการตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ก่อนการทำ Defrag This time only เลือกถ้าต้องการให้การตั้งค่าข้างบน มีผลเฉพาะการเรียก Disk Defragmenter ในครั้งนี้เท่านั้น Every time I degragment... เลือกถ้าต้องการเก็บค่าที่ตั้งไว้ให้ใช้ตลอดไปโดยไม่ต้องเข้ามาเลือกใหม่เมื่อเลือกได้แล้วก็กด OK
รูปที่ 6 แสดงการเริ่มทำการ Defrag
ข้อควรระวังในการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์
ขณะที่กำลังทำการ Defrag หากต้องการยกเลิกการทำงาน จะต้องกดที่ Stop เท่านั้น ห้ามปิดเครื่องหรือกดปุ่ม Reset เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของคุณอาจจะสูญหายได้
สรุปท้ายบท
คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ีความละเอียดอ่อนมากในการใช้งาน การบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลาก็จะช่วยยืดอายุการทำงานของคอมพิวเตอร์ไปได้มาก การคิดค่าดูแลรักษาคอมพิวเตอร์จะคิดแบบคร่าวๆ ที่ 10 เปอร์เซนต์ ของราคาซื้อ เช่น ถ้าซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาราคา 20,000 บาท ก็จะเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลต่อปีเป็นเงิน 2,000 บาท ซึ่งในเงิน 2,000 บาท นี้ จะรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เกี่ยวกับซอฟต์
บทที่ 4 หน่วยความจำ
พื้นฐานความรู้ที่ควรมี
< !--[if !supportLists]-->1. <!--[endif]-->อธิบายความหมายของหน่วยความจำแบบโวลาไทน์ และนอนโวลาไทน์
< !--[if !supportLists]-->2. <!--[endif]-->อธิบายถึงชนิดของหน่วยความจำแบบต่างๆ ได้
< !--[if !supportLists]-->3. <!--[endif]-->สามารถถึงขั้นตอนการทำงานของหน่วยความจำได้
4.1 บทนำ
หน่วยความจำเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ตามแนวคิดของการพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบ วอน นอยแมน ซึ่งเป็นผู้เสนอแนวคิดของการเก็บโปรอกรมและข้อมูลไว้ในหน่วยความจำ แล้วให้ซีพียูอ่านโปรแกรมมาดำเนินการ โดยมีขั้นตอนการทำงานเป็นวงรอบที่ชัดเจน ดังนั้นอาจเรียกแนวคิดของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่กันทกวันนี้ว่า แนวคิดการเก็บโปรแกรม (Store Program Concept)
หน่วยความจำจึงเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลซีพียูจะทำงานตามโปรแกรมที่มีการบรรจุไว้ในหน่วยความจำ เนื่องจากวงรอบการทำงานของซีพียูกระทำได้รวดเร็วมาก ดังนั้นจึงต้องเก็บโปรแกรมและข้อมูลไว้ในหน่วยความจำที่ซีพียูเรียกใช้หรือนำเก็บได้อย่างรวดเร็ว
หน่วยบนเครื่องพีซีที่เป็นหน่วยความจำหลักเรียกว่า RAM ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก Random Access Memory การเรียกว่า RAM เพราะโครงสร้างการจัดเจ็บข้อมูลจัดเก็บสถานะซึ่งแทนเลขไลบารี่ โดยมีการกำหนดตำแหน่งที่เก็บที่เรียกว่า แอดเดรส โดยทั่วไปจัดโครงสร้างของหน่วยความจำให้มีความกว้างขนาด 8 บิต และตำแหน่งแอดเดรสบอกขนาดของ RAM ทั้งหมด เช่น ถ้า RAM มีขนาด 64 กิโลไบต์ (64 k) ก็หมายถึงขนาดของ RAM มีความกว้างขนาด 8 บิต หรือ 1 ไบต์ และมีตำแหน่งที่เก็บได้เท่ากับ 65536 ตำแหน่ง (2 ยกกำลัง 16) โดยมีแอดเดรสกำหนดตำแหน่งทั้งหมด 16 บิต
รูปที่ 1 แสดงภาพหน่วยความจำ
4.2 หน่วยความจำแบบโวลาไทน์ และนอนโวลาไทน์
หน่วยความจำแบบโวลาไทน์นอนโวลาไทล์เมมโมรี่ คือ หน่วยความจำทุกชนิดที่ไม่ต้องทำการรีเฟรชคอนเทนต์ ได้แก่ รอมทุกประเภท (ROM) เช่น พีรอม (PROM), เอ็ปรอม (EPROM), อีเอ็ปรอม (EEPROM) และแฟลชเมมโมรี่ (Flash Memory) รวมถึงแรม (RAM) ที่ต้องใช้ไฟเลี้ยงจากแบตเตอรี่ด้วย
"Open-Source" หรือ "โอเพ่นซอร์ส" คือคำที่ใช้แทนคำว่า ฟรีซอฟต์แวร์ (Free Software) หรือซอฟต์แวร์เสรี ที่ให้เสรีภาพแก่ผู้บริโภคในการรัน, แก้ไขปรับปรุง และเผยแพร่โปรแกรม ไม่ว่าจะโดยการจำหน่ายหรือให้ฟรีก็ตาม แต่ที่สำคัญคือต้องแถมซอร์สโค้ด (Source Code) ไปด้วย
Operating System (OS) หรือ ระบบปฏิบัติการ คือ โปรแกรมที่โหลดขึ้นมาตามกระบวนการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์
PCI Expressเทคโนโลยีใหม่สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต โดยเฉพาะกราฟิกการ์ด มีแบนด์วิธกว้างกว่าและความเร็วสูงกว่ามาตรฐาน PCI ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
Podcastพ็อดคาสต์หรือ Podcast คือการบันทึกเสียงหรือการนำไฟล์เสียงขึ้นไปเก็บบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้สนใจดาวน์โหลดมาฟัง
Processor หรือ โปรเซสเซอร์ คือวงจรตรรก (Logic) ซึ่งทำหน้าที่ตอบสนองหรือประมวลชุดคำสั่งพื้นฐาน (Instruction) ที่ใช้ในการขับเคลื่อนคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปแล้วคำ “Processor” อาจใช้แทนคำ “CPU” ได้ ทั้งนี้โปรเซสเซอร์ที่อยู่ในเครื่องพีซีหรือในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กจะนิยมเรียกว่า “Microprocessor” หรือ ไมโครโปรเซสเซอร์
หน่วยความจำแบบโวลาไทน์นอนโวลาไทล์เมมโมรี่ คือ หน่วยความจำทุกชนิดที่ไม่ต้องทำการรีเฟรชคอนเทนต์ ได้แก่ รอมทุกประเภท (ROM) เช่น พีรอม (PROM), เอ็ปรอม (EPROM), อีเอ็ปรอม (EEPROM) และแฟลชเมมโมรี่ (Flash Memory) รวมถึงแรม (RAM) ที่ต้องใช้ไฟเลี้ยงจากแบตเตอรี่ด้วย
"Open-Source" หรือ "โอเพ่นซอร์ส" คือคำที่ใช้แทนคำว่า ฟรีซอฟต์แวร์ (Free Software) หรือซอฟต์แวร์เสรี ที่ให้เสรีภาพแก่ผู้บริโภคในการรัน, แก้ไขปรับปรุง และเผยแพร่โปรแกรม ไม่ว่าจะโดยการจำหน่ายหรือให้ฟรีก็ตาม แต่ที่สำคัญคือต้องแถมซอร์สโค้ด (Source Code) ไปด้วย
Operating System (OS) หรือ ระบบปฏิบัติการ คือ โปรแกรมที่โหลดขึ้นมาตามกระบวนการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์
PCI Expressเทคโนโลยีใหม่สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต โดยเฉพาะกราฟิกการ์ด มีแบนด์วิธกว้างกว่าและความเร็วสูงกว่ามาตรฐาน PCI ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
Podcastพ็อดคาสต์หรือ Podcast คือการบันทึกเสียงหรือการนำไฟล์เสียงขึ้นไปเก็บบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้สนใจดาวน์โหลดมาฟัง
Processor หรือ โปรเซสเซอร์ คือวงจรตรรก (Logic) ซึ่งทำหน้าที่ตอบสนองหรือประมวลชุดคำสั่งพื้นฐาน (Instruction) ที่ใช้ในการขับเคลื่อนคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปแล้วคำ “Processor” อาจใช้แทนคำ “CPU” ได้ ทั้งนี้โปรเซสเซอร์ที่อยู่ในเครื่องพีซีหรือในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กจะนิยมเรียกว่า “Microprocessor” หรือ ไมโครโปรเซสเซอร์
4.3 สแตติกแรมและไดนามิกส์แรม (Static RAM and Dynamic RAM)
หน่วยความจำที่ใช้งานส่วนใหญ่และมีปริมาณความจุสูงได้แก่ พวก RAM ด้วยเทคโนโลยี RAM ที่ใช้มีการแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่มคือ สแตติกแรม และไดนามิกส์แรม
RDRAM มีหลายเวอร์ชัน ซึ่งได้แก่ รุ่น B-Base, C-Concurrence และ D-Direct แต่ละรุ่นจะมีการขนส่งข้อมูลได้สูงต่างกับรุ่นที่สูงสุดในขณะนี้สามารถขนส่งข้อมูลได้ถึง 800 MHz
สแตติกแรม (Static RAM - SRAM) เป็นหน่วยความจำที่ใช้สถานะทางวงจรไฟฟ้าเป็นที่เก็บข้อมูล โดยวงจรเล็ก ๆ แต่ละวงจรจะเก็บข้อมูล "0" "1" และคงสถานะไว้จนกว่าจะมีการสั่งเปลี่ยนแปลง ส่วนไดนามิกส์แรม (DRAM-Dynamic RAM) เป็นหน่วยความจำที่ใช้หลักการบรรจุประจุลงในหน่วยเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่เหมือนตัวเก็บประจุ แต่เป็นจากตัวเก็บประจุไฟฟ้าเล็ก ๆ นี้ ทำจากสารกึ่งตัวนำที่มีคุณสมบัติคงค่าแรงดันไว้ได้ชั่วขณะ จึงต้องมีกลไกการรีเฟรชหรือทำให้ค่าคงอยู่ได้
จุดเด่นของ DRAM คือ มีความหนาแน่นต่อชิพสูงมากเมื่อเทียบกับ SRAM ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้เพราะมีราคาถูกกว่ามาก อย่างไรก็ดีการเชื่อมต่อเข้ากับวงจรคอมพิวเตอร์ของ DRAM มีข้อยุ่งยากมากกว่า SRAM และจากความจุสูงมากของ DRAM (ปัจจุบันมีความจุได้มากถึง 512 Mbit ต่อชิพ) ดังนั้นจึงต้องวางโครงสร้างแอดเดรสเพื่อเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของหน่วยความจำเป็นแบบแมทริกซ์ จงมีลักษณะเป็นแถวและสดมภ์
4.4 เทคโนโลยีของ DRAM ที่ใช้ใน PC
เริ่มจากอดีต ตั้งแต่ยุคสมัยเริ่มต้นของการใช้ PC มีการนำเอาสแตติกแรมมาใช้ แต่ขนาดของ RAM ในขณะนั้นมีเพียง 8-16 กิโลไบต์ ซึ่งต้องใช้พื้นที่บอร์ดขนาดใหญ่ ครั้นถึงยุคพีซีที่แพร่หลาย เช่น เครื่องแอบเปิ้ลทู การใช้หน่วยความจำเริ่มหันมาใช้แบบ DRAM
เมื่อมีการพัฒนา PC โดยบริษัทไอบีเอ็มที่เป็นต้นแบบที่เรียกว่า พีซีเอ็กซ์ที ไอบีเอ็มเลือกใช้ DRAM และเริ่มต้นด้วยขนาด 64 K ไบต์ และขยายมาเป็น 640 K ไบต์ ขยายเพิ่มจนหลายร้อยเมกะไบต์ในปัจจุบัน
ในยุคแรกการใช้ DRAM ยังใช้เป็นชิพ ไม่มีเทคนิคอะไรมากนัก เพราะซีพียูทำงานด้วยความเร็วเพียง 4-10 เมกะเฮิร์ทซ์เท่านั้น แต่ต่อมาถึงยุคพีซี 386, 486 ซีพียูเริ่มทำงานที่ความเร็ว 33 MHz จนถึง 66 MHz ซึ่งความเร็วขณะนี้เร็วกว่าการทำงานของหน่วยความจำ จึงต้องเริ่มใช้เทคนิคการชลอที่เรียกว่า ให้จังหวะรอ (CPU-Wait State)ทำให้การทำงานไม่ได้เร็วอย่างที่ต้องการ
หากพิจารณาที่ชิพหรือข้อกำหนดของ DRAM จะพบว่ามีข้อกำหนดที่สำคัญคือ ช่วงเวลาเข้าถึง ซึ่งกำหนดเป็นหน่วย นาโนวินาที (หนึ่งในสิบกำลังลงเก้า หรือหนึ่งในพันล้านวินาที) หากซีพียูวิ่งด้วยความเร็ว 10 เมกะเฮิร์ทซ์ จะมีวงรรอบสัญญาณนาฬิกา100 นาโนวินาที ถ้าความเร็วเพิ่มเป็น 100 เมกะเฮิร์ทซ์ ก็จะมีช่วงเวลาวงรอบของสัญญาณนาฬิกาเหลือ 10 นาโนวินาที ซึ่งเร็วขึ้นมาก และยิ่งในปัจจุบันใช้สัญญาณนาฬิกาสูงขึ้นอีกมาก
ดังนั้นการใช้วิธีการเชื่อมต่อกับชิพโดยตรงเหมือนในยุคแรกคงไม่ได้ จึงมีผู้ผลิตแผ่นวงจรหน่วยความจำ โดยทำเป็นแผงเล็ก ๆ ภายในมีวงจรเชื่อมต่อที่ใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการเข้าถึง เทคโนโลยีการผลิตแผงหน่วยความจำจึงเริ่มขึ้น และมีให้เลือกใช้ได้มากตามเวลาที่ผ่านมา
4.5 ประเภทของหน่วยความจำ
เราสามาถแบ่งประเภทของหน่วยความจำออกเป็น 5 ประเภทหลักๆ ได้ดังนี้
4.5.1 หน่วยความจำแบบ FPM DRAM
FPM มาจากคำว่า Fast Page Mode เป็น DRAM ในยุคแรกของรุ่น 486 โดยเพิ่มความเร็วในลักษณะ แบ่งหน่วยความจำ เป็นหน้าตามโครงสร้างที่แบ่งเป็นแถวและสดมภ์ โดยหากอ่านหรือเขียนหน่วย ความจำในห้องเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นต้องส่งค่าแอดเดรสในระดับแถวไป เพราะกำหนดไว้ก่อนแล้ว คง ส่งเฉพาะสดมภ์เท่านั้น จึงทำให้ได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีก หน่วยความจำแบบ FPM ได้รับการนำมาใช้ใน ช่วงเวลาไม่นานนัก ปัจจุบันเลิกผลิตแล้ว
หน่วยความจำที่ใช้งานส่วนใหญ่และมีปริมาณความจุสูงได้แก่ พวก RAM ด้วยเทคโนโลยี RAM ที่ใช้มีการแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่มคือ สแตติกแรม และไดนามิกส์แรม
ความเร็วบัส แบบ
|
ความเร็วแท้จริง
|
จังหวะการทำงาน
|
PC 66
|
66 MHz
|
15 ns
|
PC 100
|
100 MHz
|
10 ns
|
PC 100
|
125 MHz
|
8 ns
|
PC 133
|
133 MHz
|
7.5 ns
|
RDRAM มีหลายเวอร์ชัน ซึ่งได้แก่ รุ่น B-Base, C-Concurrence และ D-Direct แต่ละรุ่นจะมีการขนส่งข้อมูลได้สูงต่างกับรุ่นที่สูงสุดในขณะนี้สามารถขนส่งข้อมูลได้ถึง 800 MHz
สแตติกแรม (Static RAM - SRAM) เป็นหน่วยความจำที่ใช้สถานะทางวงจรไฟฟ้าเป็นที่เก็บข้อมูล โดยวงจรเล็ก ๆ แต่ละวงจรจะเก็บข้อมูล "0" "1" และคงสถานะไว้จนกว่าจะมีการสั่งเปลี่ยนแปลง ส่วนไดนามิกส์แรม (DRAM-Dynamic RAM) เป็นหน่วยความจำที่ใช้หลักการบรรจุประจุลงในหน่วยเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่เหมือนตัวเก็บประจุ แต่เป็นจากตัวเก็บประจุไฟฟ้าเล็ก ๆ นี้ ทำจากสารกึ่งตัวนำที่มีคุณสมบัติคงค่าแรงดันไว้ได้ชั่วขณะ จึงต้องมีกลไกการรีเฟรชหรือทำให้ค่าคงอยู่ได้
จุดเด่นของ DRAM คือ มีความหนาแน่นต่อชิพสูงมากเมื่อเทียบกับ SRAM ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้เพราะมีราคาถูกกว่ามาก อย่างไรก็ดีการเชื่อมต่อเข้ากับวงจรคอมพิวเตอร์ของ DRAM มีข้อยุ่งยากมากกว่า SRAM และจากความจุสูงมากของ DRAM (ปัจจุบันมีความจุได้มากถึง 512 Mbit ต่อชิพ) ดังนั้นจึงต้องวางโครงสร้างแอดเดรสเพื่อเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของหน่วยความจำเป็นแบบแมทริกซ์ จงมีลักษณะเป็นแถวและสดมภ์
4.4 เทคโนโลยีของ DRAM ที่ใช้ใน PC
เริ่มจากอดีต ตั้งแต่ยุคสมัยเริ่มต้นของการใช้ PC มีการนำเอาสแตติกแรมมาใช้ แต่ขนาดของ RAM ในขณะนั้นมีเพียง 8-16 กิโลไบต์ ซึ่งต้องใช้พื้นที่บอร์ดขนาดใหญ่ ครั้นถึงยุคพีซีที่แพร่หลาย เช่น เครื่องแอบเปิ้ลทู การใช้หน่วยความจำเริ่มหันมาใช้แบบ DRAM
เมื่อมีการพัฒนา PC โดยบริษัทไอบีเอ็มที่เป็นต้นแบบที่เรียกว่า พีซีเอ็กซ์ที ไอบีเอ็มเลือกใช้ DRAM และเริ่มต้นด้วยขนาด 64 K ไบต์ และขยายมาเป็น 640 K ไบต์ ขยายเพิ่มจนหลายร้อยเมกะไบต์ในปัจจุบัน
ในยุคแรกการใช้ DRAM ยังใช้เป็นชิพ ไม่มีเทคนิคอะไรมากนัก เพราะซีพียูทำงานด้วยความเร็วเพียง 4-10 เมกะเฮิร์ทซ์เท่านั้น แต่ต่อมาถึงยุคพีซี 386, 486 ซีพียูเริ่มทำงานที่ความเร็ว 33 MHz จนถึง 66 MHz ซึ่งความเร็วขณะนี้เร็วกว่าการทำงานของหน่วยความจำ จึงต้องเริ่มใช้เทคนิคการชลอที่เรียกว่า ให้จังหวะรอ (CPU-Wait State)ทำให้การทำงานไม่ได้เร็วอย่างที่ต้องการ
หากพิจารณาที่ชิพหรือข้อกำหนดของ DRAM จะพบว่ามีข้อกำหนดที่สำคัญคือ ช่วงเวลาเข้าถึง ซึ่งกำหนดเป็นหน่วย นาโนวินาที (หนึ่งในสิบกำลังลงเก้า หรือหนึ่งในพันล้านวินาที) หากซีพียูวิ่งด้วยความเร็ว 10 เมกะเฮิร์ทซ์ จะมีวงรรอบสัญญาณนาฬิกา100 นาโนวินาที ถ้าความเร็วเพิ่มเป็น 100 เมกะเฮิร์ทซ์ ก็จะมีช่วงเวลาวงรอบของสัญญาณนาฬิกาเหลือ 10 นาโนวินาที ซึ่งเร็วขึ้นมาก และยิ่งในปัจจุบันใช้สัญญาณนาฬิกาสูงขึ้นอีกมาก
ดังนั้นการใช้วิธีการเชื่อมต่อกับชิพโดยตรงเหมือนในยุคแรกคงไม่ได้ จึงมีผู้ผลิตแผ่นวงจรหน่วยความจำ โดยทำเป็นแผงเล็ก ๆ ภายในมีวงจรเชื่อมต่อที่ใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการเข้าถึง เทคโนโลยีการผลิตแผงหน่วยความจำจึงเริ่มขึ้น และมีให้เลือกใช้ได้มากตามเวลาที่ผ่านมา
4.5 ประเภทของหน่วยความจำ
เราสามาถแบ่งประเภทของหน่วยความจำออกเป็น 5 ประเภทหลักๆ ได้ดังนี้
4.5.1 หน่วยความจำแบบ FPM DRAM
FPM มาจากคำว่า Fast Page Mode เป็น DRAM ในยุคแรกของรุ่น 486 โดยเพิ่มความเร็วในลักษณะ แบ่งหน่วยความจำ เป็นหน้าตามโครงสร้างที่แบ่งเป็นแถวและสดมภ์ โดยหากอ่านหรือเขียนหน่วย ความจำในห้องเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นต้องส่งค่าแอดเดรสในระดับแถวไป เพราะกำหนดไว้ก่อนแล้ว คง ส่งเฉพาะสดมภ์เท่านั้น จึงทำให้ได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีก หน่วยความจำแบบ FPM ได้รับการนำมาใช้ใน ช่วงเวลาไม่นานนัก ปัจจุบันเลิกผลิตแล้ว
รูปที่ 3 แสดงหน่วยความจำแบบ FPM DRAM
4.5.2 หน่วยความจำแบบ EDO RAM
EDO ย่อมาจาก Extended Data Output เป็นเทคโนโลยีที่ปรับปรุงมาจาก FPM และนำมาใช้ในยุคการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่เพนเตียม หลักการของ EDO เน้นการซ้อนเหลี่ยมจังหวะการทำงาน ซึ่งขณะการทำงานที่ซ้อนเหลี่ยมนี้ทำให้ได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกมาก หน่วยความจำแบบ EDO จึงเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงเวลาหนึ่ง ปัจจุบันเลิกผลิตแล้วเช่นกัน
การซ้อนเหลี่ยมจังหวะการทำงานนี้ ทำให้ช่วงเวลาการเข้าถึงของซีพียูทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และลดจังหวะการทำงานไปได้หลายจังหวะ ทั้งนี้ต้องคิดโดยรวมของประสิทธิภาพทั้งหมด
รูปที่ 4 แสดงหน่วยความจำแบบ EDO RAM
4.5.3 หน่วยความจำ SDRAM
รูปที่ 5 แสดงหน่วยความจำแบบ SDRAM
มาตรฐานจังหวะการทำงานของ SD RAM
ตารางที่ 1 แสดงจังหวะการทำงานของ SDRAM
การออกแบบ SDRAM จึงเน้นการซิงโครไนซ์เข้ากับระบบบัสมาตรฐาน เพื่อให้จังหวะการทำงานของการเขียนหรือ อ่านหน่วยความจำเป็นจังหวะที่แน่นอน และด้วยวิธีนี้จะทำให้หน่วยความจำแบบ SDRAM มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าแบบ EDO ปัจจุบัน (2548) SDRAM เป็นแรมที่ตกยุคไปแล้วเนื่องจากว่าบริษัทที่เลิกผลิตแรมชนิดนี้แล้ว
4.5.4 หน่วยความจำแบบ DDR-RAM
DDR ย่อมาจากคำว่า Double Data Rate ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อมาจาก SDRAM ช่วงแรกบริษัทอินเทลไม่พัฒนาชิปเซตสนับสนุน ดังนั้นผู้ผลิตรายอื่น เช่น เอเอ็มดี และผู้ผลิตชิปเซตชั้นนำจากไต้หวันจึงรวมกันและพัฒนาเทคโนโลยีนี้จนได้รับความนิยมสูง บริษัทผู้ผลิตชิปเซตละสร้างเมนบอร์ดชั้นนำของโลกจากไต้หวันที่ผลิตได้แก่ VIA, SiS, Ali
DDR เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาครั้งแรกเพื่อเป็นการ์ดหน่วยความจำในภาคแสดงผล และเป็นตัวเร่งการแสดงผล แต่ต่อมาเห็นว่าเทคโนโลยีนี้เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นหน่วยความจำหลักด้วย
รูปที่ 6 แสดงหน่วยความจำแบบ DDR-RAM
ลักษณะของการเชื่อมต่อกับบัสของซีพียูยังคงใช้ระบบมาตรฐานเดิมแบบ PC 100 หรือPC 133 แต่ด้วยเทคโนโลยีที่สร้างทำให้ได้เส้นทางคู่ขนาน ความเร็วในการขนส่งข้อมูลกับหน่วยความจำจึงมีได้เป็นสองเท่าของ SDRAM เนื่องจากแนวคิดหลายอย่างนำมาจากSDRAM ทำให้หน่วยความจำนี้ราคาไม่สูงมากนัก และปัจจุบันกำลังพัฒนา DDR II ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่สอง โดยจะเพิ่มความเร็วในการขนส่งอีกสองเท่าตัว หน่วยความจำแบบDDR มีขาทั้งหมด 184 ขา ซึ่งมากกว่า SDRAM ซึ่งมีเพียง 168 ขา ดังนั้นจึงใช้แทนกันไม่ได้
4.5.5 หน่วยความจำ RDRAM
RDRAM ย่อมาจาก Rambus DRAM เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาในแนวทางที่แยกออกไป โดยมีการสร้างระบบการเชื่อมต่อใหม่และต้องใช้วงจรพิเศษ RDRAM ได้รับการสนับสนุนจากอินเทล ดังนั้นพีซีที่ใช้ RDRAM จึงต้องใช้ชิพสนับสนุนของอินเทลRDRAM มีแถบกว้างการขนส่งข้อมูลได้สูง
รูปที่ 7 แสดงหน่วยความจำแบบ RD-RAM
4.6 การตรวจสอบข้อมูลของ RAM
Parity กับ Non-Parity ส่วนที่แตกต่างกันของสองแบบนี้ ก็คือว่า แบบ Parity จะมีความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยจะมี bit ตรวจสอบ 1 ตัว ถ้าพบว่ามีข้อมูลผิดพลาด ก็จะเกิด System Halt ในขณะที่แบบ Non-Parity จะไม่มีการตรวจสอบ bit นี้
Error Checking and Correcting (ECC) หน่วยความจำแบบนี้ ก็พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเพราะ นอกจากจะตรวจสอบว่ามีข้อมูลผิดพลาดมากๆ มันก็ halt ได้เหมือนกัน สำหรับ ECC นี้ จะเปลือง Overhead เพื่อเก็บข้อมูลมากกว่าแบบ Parity ดังนั้น Performance ของมันจึงถูกลดทอนลงไปบ้าง
สรุปท้ายบท
การเพิ่มหน่วยความจำเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกหน่วยความจำที่จะมาใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องดูที่ชนิดและความเร็วในการส่งข้อมูลบัส (BUS) เช่น บัส 133, บัส 333, ก็จะทำงานได้ดีกับเมนบอร์ดที่รองรับความเร็วของบัสที่เท่ากัน ถ้าในกรณีที่เรานำหน่วยความจำที่มีบัสสูงกว่าที่เมนบอร์ดเราจะรองรับได้ เช่น ถ้าเมนบอร์ดสามารถรองรับบัสของหน่วยความจำได้ 100 MHz แต่หน่วยความจำที่นำมาใช้มีบัส 133 MHz ในกรณีนี้หน่วยความจำก็จะทำงานได้ที่ 100 MHz ตามที่เมนบอร์ดรองรับได้เท่านั้นซึ่งจะทำให้ใช้งานความเร็วในการส่งข้อมูลของหน่วยความจำไม่เต็มที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น