วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 6  การ์ดแสดงผล


    การ์ดแสดงผล   เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ทำหน้าทีในการประมวลผลสัญญาณของภาพเพื่อส่งต่อไปยังมอนิเตอร์ เพื่อแสดงภาพ สำหรับการ์ดแสดงผลนี้เป็นจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่ต้องการภาพที่สมจริงรวมไปถึงคนที่ต้องการเล่นเกมส์ และคนที่ชอบตัดต่อ VDO ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะติดตั้งมาพร้อมเมนบอร์ด แต่คนที่ต้องการจะมีการ์ดแสดงผลแยกตางหากก็สามารถ เลือกที่ไม่มีติดตั้งก็ได้
ประเภทของ การ์ดแสดงผล
1.AGP(Accelerated Graphics Port) เป็นพอร์ตรุ่นเดิมในปัจจุบันได้ล้าสมัยไปเพราะมีความเร็วที่ต่ำ
ลักศณะของ การ์ดแสดงผล แบบ AGV
2.PCI Express
เป็นพอร์ตการเชื่อมต่อใหม่ล่าสุด ซึ่งมีความเร็วมากกว่า AGP
ลักศณะของ การ์ดแสดงผล แบบ PCI Express

หน่วยความจำของการ์ดแสดงผล

การ์ดแสดงผลหรือการ์ดจอที่เราเรียกติดปากกันนั้น มีส่วนหนึ่งที่เป็นตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการ์ดแสดงผลก็คือ ความเร็วของหน่วยความจำ (RAM) บนการ์ดแสดงผล เพราะชิปกราฟิกจะต้องติดต่อกับหน่วยความจำตลอดเวลา และการประมวลผลกราฟิกต่างๆ นั้นต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก ดังนั้น การ์ดแสดงผลที่มีแรมจำนวนมาก และทำงานได้รวดเร็วจะส่งผลการ์ดแสดงผลสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประเภทของหน่วยความจำที่นิยมมาใช้กับการ์ดแสดงผล
  • RAM DDR2 -ทำงานเช่นเดียวกับแรม DDR 2 ของคอมพิวเตอร์
  • RAM GDDR2 -เป็นแรมที่ออกแบบมาสำหรับการ์ดแสดงผล
  • RAM GDDR3 -แรม DDR3 สำหรับการ์ดแสดงผลรองรับความเร็วที่ 1 GHz ขึ้นไป
  • RAM GDDR4 -แรม DDR4 สำหรับการ์ดแสดงผลรองรับความเร็วที่ 1.5 GHz ขึ้นไป
  • RAM GDDR5 -แรม DDR5 สำหรับการ์ดแสดงผลรองรับความเร็วที่ 2 GHz ขึ้นไป


การเลือกซื้อการ์ดแสดงผล


ในการประมวลผลภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้น จำเป็นจะต้องใช้ชิปประมวลผลกราฟิคเพื่อช่วยแสดงรายละเอียดในการแสดงผลภาพให้สมจริง คมชัด โดยรวมแล้วเราสามารถแยกประเภทของชิปประมวลผลเป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ แบบชิบบนตัวเมนบอร์ด (On-board graphic chip) และการ์ดแสดงผลซึ่งเป็นการ์ดเชื่อมต่อบนสล็อตบนเมนบอร์ด โดยการสังเกตว่าคอมพิวเตอร์ของเรารองรับการ์ดแสดงผลแบบใด จะต้องดูจากชิปเซต และดูว่ามีสล็อตประเภทใดที่รองรับการเชื่อมต่อการ์ดแสดงผลด้วย

ปัจจุบันการ์ดแสดงผลมีการพัฒนาชิปประมวลผลให้ทันสมัยอยู่เสมอเพื่อให้สามารถรองรับการประมวลผลภาพที่สมจริง เรียกได้ว่าแทบจะทุกๆ 6 เดือนเลยก็ว่าได้ โดยมักจะเน้นในด้านการแสดงผลในเกมสามมิติ การแสดงแสงเงาที่สมจริงในฉากเกม นอกจากนี้ยังมีเหตุผลในการเลือกซื้อการ์ดแสดงผลคือเรื่องของการรองรับการเชื่อมต่อ เช่น พอร์ต DVI เพื่อใช้เชื่อมต่อกับจอแสดงภาพแบบ Flat-panel เชื่อมต่อกับโทรทัศน์ หรือภาครับวิทยุ FM รวมถึงการเชื่อมต่อกับวีดีโอต่างๆ เช่น S-Video และการเชื่อมต่อ Component ทำให้การ์ดแสดงผลเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่หลายคนพยายามไขว่หาการ์ดแสดงผลที่ดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่เสมอ ซึ่งนับว่าเป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนกันบ่อยสำหรับนักเล่นเกมที่ต้องการความสามารถในการแสดงผลในระดับสูง โดยการ์ดแสดงผลรุ่นท็อปมักมีราคาในระดับ 1 – 2 หมื่นบาทเลยทีเดียว

ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาในการเลือกซื้อการ์ดแสดงผล

(รูปภาพจาก http://www.pcstats.com)

Interface เข้าใจง่ายๆคือรูปแบบการเชื่อมต่อ นั่นคือรูปแบบของการ์ดที่เชื่อมต่อกับตัวเมนบอร์ดนั่นเอง โดยปัจจุบันจะมีรูปแบบการเชื่อมต่อแบบ PCI Express ที่สามารถเชื่อมต่อกับสล็อต PCI Express สำหรับพีซีรุ่นใหม่ หรือสำหรับรุ่นเก่าจะรองรับรูปแบบการเชื่อมต่อ AGP โดยจะมีความเร็ว 8X 4X และ 2X ซึ่งปัจจุบันจะมีให้เลือกเป็น AGP 8X* และ PCI Express x16 คุณไม่สามารถนำการ์ดแสดงผลแบบ AGP ติดตั้งลงในช่องเสียบการ์ดแบบ PCI Express โดยรูปแบบการเชื่อมต่อแบบ PCI Express จะมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลมากกว่า AGP โดยทางทฤษฎีจะมีความเร็ว 16X ซึ่งเร็วกว่า 8X) สำหรับเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆจะมีรูปแบบการเชื่อมต่อแบบ PCI Express

Graphic Processor
เหมือนมันสมองในการประมวลผล โดยปัจจุบันเกมต่างๆได้รับการพัฒนาให้สามารถแสดงผลในรูปแบบสามมิติ ต้องขอบคุณการ์ดแสดงผลในปัจจุบันที่รองรับการแสดงผลที่สมจริงมากยิ่งขึ้น โดยชิปประมวลผลกราฟิก (Graphic Processing Unit : GPU) นั้นมีผลกับคุณภาพในการประมวลผลภาพมาก โดยชิปประมวลผลภาพจะแบ่งเป็น 2 ค่ายคือ nVidia และ ATi
ความสามารถในการแสดงผลภาพของการ์ดแสดงผลประสิทธิภาพสูงจะสามารถเรนเดอร์ภาพได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพที่ออกมาสวยงาม สดใส ไม่สะดุด ไม่มีการกระตุกให้เห็นในการเล่นเกมส์ รับชมภาพยนตร์ โดยจะมีการวัดค่าในการแสดงผลภาพในหน่วยเฟรมต่อวินาที (Frame per second เรียกย่อๆว่า fps) เช่นการรับชมภาพ 30 fps คือการรับชมภาพที่ 30 เฟรมต่อวินาที (ต้องอธิบายก่อนว่าภาพที่เราเห็นนั้น จะมีการเปลี่ยนเฟรมของภาพอย่างรวดเร็วจนตาของเราจับไม่ทัน ทำให้ภาพมีความต่อเนื่อง หากมีการแสดงผลเฟรมภาพได้มาก ก็จะแสดงภาพได้อย่างนิ่มนวลมากยิ่งขึ้น โดยคุณสมบัติของการ์ดแสดงผลที่ต้องนำมาพิจารณาคือ Pixel Shading การแสดงผลภาพ, Transparency การแสดงภาพความคมชัด ความลึกของภาพ, High Dynamic-rang lighting การสร้างแสงเงาของภาพ และความละเอียดในการแสดงผลภาพ เช่น 1600x1200 จะใช้กับหน้าจอที่แสดงผลภาพขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ Antialiasing การเปิดคุณสมบัติทำให้ภาพมีความสมูท ไหลลื่น นิ่มนวล ไม่ดูแข็งกระด้าง


ในปัจจุบันเกมส่วนใหญ่มักจะใช้คุณสมบัติ DirectX 9 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแสดงผลภาพให้คมชัด ยอดเยี่ยม นำประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์มาใช้เร่งความเร็วในการแสดงผลกราฟิกมากยิ่งขึ้น

หน่วยความจำ
ในการใช้งานด้านกราฟิก เช่น การเล่นเกมส์ ตัดต่อวีดีโอ จำเป็นต้องอาศัยการส่งผ่านข้อมูลไปฝากไว้ในหน่วยความจำสำหรับรอการประมวลผลภาพในแสดงผลต่อไป ซึ่งในปัจจบันเกมต่างๆต้องการเนื้อที่หน่วยความจำจำนวนมากในการประมวลผล โดยการ์ดแสดงผลมักมากับหน่วยความจำชนิด GDDR3 ขนาด หน่วยความจำอย่างน้อย 128MB โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานกับ Windows Vista ระบบปฏิบัติการแห่งอนาคตกับคุณสมบัติ Aero Glass ส่วนในระดับเมนสตรีมแนะนำให้ใช้ขนาดหน่วยความจำที่ 256MB จนถึง 512MB โดยในปัจจุบัน (ไตรมาสที่ 1/2006) หน่วยความจำขนาด 512MB เป็นขนาดหน่วยความจำที่มากที่สุด

ในเกมเก่าๆ ขนาดหน่วยความจำ 128MB อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเล่นเกม หากต้องการอัตราการแสดงผลเฟรมภาพที่สูง และสามารถรองรับการแสดงผลที่ความละเอียด 1600x1200 pixels ควรมีขนาดหน่วยความจำที่ 256MB แต่ความต้องการอาจไม่ได้มากขนาดนั้น สำหรับคนที่เล่นเกมเก่าๆอยู่อาจยังไม่ถึงเวลาอัพเกรด จนกว่าจะมีเกมใหม่ๆที่ถูกใจออกมาจึงค่อยทำการอัพเกรดภายหลัง

ในชิประมวลผลกราฟิกในบางรุ่น เช่นเมนบอร์ดในเครื่องพีซี (หรือโน้ตบุค) อาจใช้หน่วยความจำหลักของระบบมาใช้ในการประมวลผลภาพด้วย ซึ่งจะแบ่งส่วนหน่วยความจำของระบบไปใช้ในการแสดงผลภาพกราฟิก ทำให้หน่วยความจำที่ใช้ในระบบปฏิบัติการลดน้อยลง หากหน่วยความจำระบบน้อยเพียง 128MB เมื่อถูกแบ่งไปใช้งานด้านกราฟิกอาจทำให้เหลือหน่วยความจำเพียงแค่ 96MB เท่านั้น แต่สำหรับชิปบนเมนบอร์ดในบางรุ่น เช่น Intel Celeron อาจมีชิปประมวลผลภาพกราฟิกมาให้ นั่นหมายถึงมีหน่วยความจำในตัวชิปต่างหากด้วย

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีในการจัดการหน่วยความจำโดยจัดสรรหน่วยความจำของระบบมาใช้กับการ์ดแสดงผลครึ่งหนึ่ง คือเทคโนโลยี TurboCache จาก nVidia และ HyperMemory จาก ATi

พอร์ตเชื่อมต่อ 2 พอร์ต

กราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ๆจะให้พอร์ตเชื่อมต่อ 2 พอร์ต โดยอาจจะให้พอร์ต DVI (Digital) และพอร์ต VGA (Analog) หรือให้พอร์ต DVI ทั้ง 2 พอร์ตเลยก็เป็นได้ โดยการเชื่อมต่อแบบ DVI จะส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งให้คุณภาพในการแสดงผลที่ดีกว่าแบบอนาล็อค (พอร์ต DVI มักให้มากับจอภาพแบบ LCD) หรือจอแสดงผลระดับสูงที่รองรับการส่งผ่านข้อมูลแบบดิจิตอล สำหรับพอร์ต VGA หรือพอร์ค D-Sub 15 pin คือพอร์ตที่ใช้ต่อจอมอนิเตอร์แบบ CRT ทั่วๆไป จุดเด่นของการเชื่อมต่อจอแสดงผลแบบนี้คือสามารถเชื่อมต่อจอภาพได้มากถึง 2 - 4 จอเลยทีเดียว ทำให้เพิ่มพื้นที่การทำงานโปรแกรมต่างๆได้มากขึ้น หากการ์ดแสดงผลของคุณไม่มีพอร์ต VGA คุณก็สามารถเชื่อมต่อจอภาพแบบ DVI ผ่านทางตัวแปลง DVI-to-VGA ได้อีกด้วย
คลิกเพื่อดูภาพขนาดจริง
รูปแบบของพอร์ต DVI ชนิดต่างๆและพอร์ต VGA รวมทั้งอแดปเตอร์แปลง DVI to VGA


เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแสดงผลภาพ
ทั้ง nVidia และ ATi ต่างก็พัฒนาขีดความสามารถในการแสดงผลวีดีโอที่สมจริง ภาพคมชัด สดใส แยกแยะความแตกต่างของสีได้ดียิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี Avivo จาก ATi และ PureVideo จาก nVidia ช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมภาพยนตร์ DVD โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่ถ่ายทำด้วยความละเอียดระดับ High-definition ทำให้ภาพที่รับชมชัดเจน สดใส สมจริง มีชีวิตชีวา ไม่ใช่แค่จอภาพทื่อๆอีกต่อไป
ภาพคมชัด
ภาพคมชัด


สีสันสดใส
สีสันสดใส


พอร์ต S-Video-out/-in
S-Video port
S-Video port

รองรับการส่งสัญญาณภาพจากคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องรับโทรทัศน์ จอฉายภาพโปรเจคเตอร์ จอ VCR และอุปกรณ์แสดงผลภาพอื่นๆ นอกจากนี้คุณยังพบกับการเชื่อมต่อแบบ VIVO (ย่อมาจาก Video in/Video out) และพอร์ต S-Video ให้คุณรับชมภาพจากกล้องถ่ายภาพวีดีโอได้อย่างง่ายดาย หมายความว่าคุณสามารถรับและส่งสัญญาณภาพในพอร์ตเดียวกันได้อีกด้วย

Composite-out/-in
Composite Cable
Composite Cable

ทำงานเช่นเดียวกับพอร์ต S-Video แต่จะมีการส่งผ่านข้อมูลต่ำกว่า S-Video ใช้งานกับอุปกรณ์เก่าๆได้เป็นอย่างดี สำหรับการ์ดแสดงผลส่วนใหญ่มักจะให้สายแปลงพ่วงต่อ S-Video-to-composite อยู่แล้ว

TV-Tuner
TV Tuner Card
TV Tuner Card

รับชมรายการโทรทัศน์ บันทึกรายการโทรทัศน์สุดโปรด ปกติการ์ด TV Tuner จะจำหน่ายแยกจากการ์ดแสดงผล แต่หากการ์ดแสดงผลมีคุณสมบัตินี้ก็สามารถรับชมโทรทัศน์ได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ทันที

Overclocking
การปรับแต่งการ์ดแสดงผลให้ทำงานในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดมาจากโรงงาน จะเป็นสวรรค์ของนักปรับแต่งที่ชอบการโมดิฟาย โดยผู้ผลิตการ์ดจะยอมให้ทำการโอเวอร์คล็อคในระดับหนึ่ง โดยมีการป้องกันความเสียหายจากการโอเวอร์คล็อค ผู้ผลิตบางรายอาจจำหน่ายการ์ดแสดงผลที่ปรับแต่งความเร็วสัญญาณนาฬิกามาให้แล้ว โดยกระทำอยู่ในมาตรฐานที่ไว้วางใจได้ นอกจากนี้ยังมีการ์ดแสดงผลที่แถมซอฟต์แวร์ในการปรับแต่งเป็นลูกเล่นให้อีกด้วย ทำให้มีบางคนซื้อการ์ดแสดงผลมาเพื่อการโอเวอร์คล็อคกันเลยทีเดียว แต่การปรับแต่งต้องอาศัยความชำนาญ และระมัดระวังความเสียหายและความร้อนที่สะสมจากการจูนเครื่องให้ทำงานเกินกำลังความสามารถ

Antialiasing
คลิกเพื่อดูภาพขนาดจริง
เปรียบเทียบคุณสมบัติ Antialiasing

เทคโนโลยีในการ์ดแสดงผลที่ช่วยในการลบรอยหยักของภาพ ช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด มีความคมชัดของภาพในระดับที่ไม่คมเกินไปนัก ภาพจะดูนุ่มนวลสบายตา คุณสมบัตินี้จะช่วยในการแสดงผลภาพในความละเอียดต่ำที่ภาพจะแตก หยาบ แสดงผลภาพในอัตราเฟรมเรตที่ต่ำ ทำให้ภาพที่ออกมาไม่แยกและหยาบจนเกินไป โดยคอเกมส์อาจเลือกเปิดคุณสมบัติเพื่อให้ภาพที่ละเอียด ราบรื่นยิ่งขึ้น หรือมีประสิทธิภาพในการแสดงผลสูงขึ้น

การรองรับการเชื่อมต่อแบบ Dual GPU
การเชื่อมต่อการ์ดแสดงผลแบบคู่
การเชื่อมต่อการ์ดแสดงผลแบบคู่

การรันการ์ดแสดงผล 2 ตัวในระบบเดียวกัน จะช่วยในการประมวลผลภาพที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยต้องใช้เมนบอร์ดที่รองรับการเชื่อมต่อการ์ดแสดงผลแบบคู่ โดยทางฝั่ง nVidia จะใช้เทคโนโลยี SLi (Scalable Link Interface) ส่วนทาง ATi จะมากับคุณสมบัติ CrossFire โดยการ์ดแสดงผลส่วนใหญ่ที่ใช้ความสามารถนี้จะสามารถแสดงผลที่ความละเอียด 1600x1200 pixel พร้อมเปิดใช้คุณสมบัติ antialiasing นอกจากนี้ทาง nVidia ยังได้พัฒนาชิปประมวลผลกราฟิกแบบ Quad-SLi ที่ให้การแสดงผลมากถึง 4 ชิปประมวลด้วยกัน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://www.nvidia.com และ http://www.ati.com)

พิจารณาจากสเปค

จะแบ่งเป็น 3 ระดับดังนี้

ระดับล่าง ขนาดหน่วยความจำ 128MB-256MB
ระดับกลาง ขนาดหน่วยความจำ 256MB
ระดับบน ขนาดหน่วยความจำ 256- 512MB
(หากขนาดหน่วยความจำมาก ก็จะมีราคาสูง แต่จะให้ประสิทธิภาพในการแสดงผลดีกว่า)

ระดับล่าง ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 300 – 500 MHz
ระดับกลาง ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 400 – 500 MHz
ระดับบน ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 450 MHz ขึ้นไป
(ความเร็วสัญญาณนาฬิกาของการ์ดแสดงผลมีผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมในการแสดงผล
ภาพ)

อินเทอร์เฟซการเชื่อมต่อ ทั้งระดับ ล่าง กลาง บน เลือกได้ทั้ง AGP / PCI Express
(ต้องพิจารณาจากเมนบอร์ดของคุณว่ารองรับการ์ดแสดงผลแบบใด หรือหากต้องการใช้การ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ ก็ต้องเลือกเมนบอร์ดให้เหมาะสมด้วย)

การเชื่อมต่ออุปกรณ์แสดงผล
ระดับล่าง DVI 1 หรือ 2 พอร์ต
ระดับกลาง DVI 1 หรือ 2 พอร์ต
ระดับบน DVI 2 พอร์ต

พอร์ตการเชื่อมต่ออื่นๆ
ทุกระดับเลือกได้ทั้ง S-Video, Composite หรือ Component
(พิจารณาจากความสำคัญของงาน การตัดต่อวีดีโอแบบดิจิตอล พอร์ต S-Video จะดีกว่า นอกจากนี้ให้พิจารณาว่าอุปกรณ์ต่างๆที่คุณใช้งานรองรับพอร์ตชนิดใด)

พอร์ตการรับสัญญาณ:
ระดับล่าง ไม่ต้องมี Video/Audio input
ระดับกลางและบน Video Input / Audio Input
(หากต้องการบันทึกภาพจากโทรทัศน์หรือกล้องวีดีโอ การ์ดแสดงผลแบบ TV Tuner รองรับความสามารถในการบันทึกรายการโทรทัศน์อยู่แล้ว)

คำแนะนำในการเลือกซื้อ

1. ตรวจสอบชนิดการเชื่อมต่อการจอภาพที่คุณต้องการ รูปแบบการเชื่อมต่อที่เมนบอร์ดรองรับ หรือหากซื้อเมนบอร์ดแล้วให้พิจารณาว่าจะใช้การ์ดแสดงผลที่เชื่อมต่อในรูปแบบใด หรืออาจจะพิจารณาเลือกรูปแบบการเชื่อมต่อ จากนั้นจึงซื้อเมนบอร์ด และซีพียูก็ได้
2. ตรวจสอบการเข้ากันได้ของการ์ดแสดงผล โดยการ์ดแสดงผลจะมี AGP2x/4x/8x นอกจากนี้ยังมีแรงดันไฟที่ต่างกัน เช่น 3.3 โวลต์อีกด้วย
3. พิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการจัดสเปคคอมพิวเตอร์ ว่าจะใช้เมนบอร์ดที่รองรับการ์ดแสดงผลแบบใด แล้วจึงเลือกการ์ดแสดงผลที่ต้องการ หรือหากต้องการเชื่อมต่อการ์ดแสดงผลแบบคู่ก็ต้องเลือกตั้งแต่เมนบอร์ดเลยทีเดียว
4. ตรวจสอบให้ดีว่าโปรแกรมหรือเกมที่คุณใช้นั้น รองรับเทคโนโลยีใดบ้าง แล้วจึงเลือกให้เหมาะสมกับงานที่เราใช้จริง
การ์ดแสดงผลสัญญาณภาพหรือการ์ดจอ(Display Adapter)เป็นอุปกรณ์ที่มีความสลับซับซ้อนมากในปัจจุบัน ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลภายในแบบดิจิตอลเพื่อเปลี่ยนเป็นสัญญาณภาพส่งออกไปที่จอภาพ ส่วนประกอบหลักบนตัวการ์ดแสดงผลก็คือ ชิปประมวลผลกราฟฟิก (GPU)ซึ้งทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะ เช่น ชิปของ Nvidia และ ATI เป็นต้น










ส่วนประกิบของการ์ดจอแสดงผล


อินเตอร์เฟส (Interface) หรือระบบบัสของตัวการ์ด

เป็นส่วนที่ใช่เชื่อมต่อเข้ากับระบบบัสที่อยู่บนเมนบอร์ด มีลักษณธเป็นแถบทองแดงยื่นออกมาด้านข้างของตัวการ์ด ใช้เสียบลงบนช่องเสียบ (Slot) บนเมนบอร์ดที่เป็นชนิดเดียวกันกับตัวการ์ด ปัจจุบันการ์ดจอมีอินเตอร์เฟสให้เลือกใช้อยู่ 2 แบบคือ AGP และ PCI Express ซึ้งมีรายระเอียดดังนี้
  • AGP (Accelerated Graphic Port)

เป็นระบบบัสที่มีความถี่ในการทำงานที่ 66.6 MHz ด้วยความกว้างบัสขนาด 32 บิตมาตร
ฐานเริ่มต้นคือ AGP 1X ซึ่งให้ Bandowidth ที่ 266 MB/sec (โดยประมาณ) แต่สำหรับมาตรฐานล่าสุดที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันคือ AGP 8X ซึ่งให้ Banidth สูงสุดที่ 2132 MB/sec หรือ 213 GB/sec







  • PCI Express

เป็นมาตรฐานของระบบบัสแบบใหม่ที่ใช้วิธีการรับส่งข้อมูลกันในแบบอนุกรม (Serial) สองทิศทางทั้งไปและกลับ ซึ่งถูกออกแบบให้เลือกใช้ความเร็วมากน้อยได้ตามต้องการของอุปกรณ์แต่ละชนิด และยังให้แบนด์ดิวธ์ (Bandwidth) เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว โดยมาตรฐานเริ่มต้นคือ PCI Express x1 (นำมาใช้แทน PCI เดิม) ให้แบนด์วิดธ์ทั้งไปและกลับรวมกันสูงสุด 500 MB/sec แต่สำหรับมาตรฐานล่าสุดที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันคือ PCI Express x16 (ใช้แทน AGP เดิม) นั้น ให้แบนด์วิดธ์ทั้งไปและกลับรวมกันสูงสุดมากถึง 8000 MB/sec หรือ 8 GB/sec เลยทีเดียวนอกจากนี้บนเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆหลายรุ่นยังรองรับเทคโนโลยี SLI(Scalable Link Interface multi-GPU Technology) โดยมีการติดตั้งสล็อตแบบ PCI Express x16 นี้มาให้พร้อมกันถึง 2 ตัวเพื่อช้วยเพิ่มประสิทภาพในการประมวลผลกราฟิกให้สูงขึ้นอีกด้วย

ชิปประมวลผลกราฟิก (GPU: Graphic Proessing Unit)

เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดบนตัวการ์ด ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลด้านกราฟิกโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยลดภาระในการทำงานของซีพียูลงรวมทั้งเพิ่มความเร็วในการแสดงภาพ 2 และ 3 มิติ ทั้งภาพนิ่งและภาพเครื่องไหวบนจอแสดงผลปัจจุบันบริษัทที่แข่งขันกันผลิตชืปประมวลผลกราฟิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำไปใช้ประมวลผลภาพกราฟิกแบบ 3 มิติสำหรับเกมต่างๆที่ผุ้ใช้โดยทั้วไปรู้จักกันดีมีอยู่ 2 บริษัทใหญ่ คือ nVIDIA ผุ้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิกในตะกูล GeForce ซีรี่ส์ต่างๆ เช่น Series 7 และ 6 รุ่น 7950, 7900, 6800 และ 6600 เป็นต้น และ บริษัท ATI ผูเผลิตชิปประมวลผลกราฟิกในตระกูล Radeon ซีรี่ส์ต่างๆ เช่น Series X1900, X1800, X800 และ X550 เป็นต้น





หน่วยความจำบนตัวการ์ด (VIRAM : Video RAM)

ทำหน้าที่รับเอาข้อมูลภาพที่ถูกส่งมาจากหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) มาพักหรือจัดเก็บไว้ เพื่อจะนำไปแสดงผลบนจอภาพในแต่ละเฟรมหรือเรียกว่าเป็น Frame Buffer นั่นเองหน่วยความจำบนตัวการ์ดนี้จะคอยทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก(GPU) อยู่อย่างใกล้ชิดแบบเดียวกับหน่วยความจำหลัก หรือแรมบนเมนบอร์ดทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ดังนั้นถ้า VRAM ยังมีความเร็วและมีความจุสูงมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพมีตั่งแต่ SDRAM, RDRAM, DDR-SDRAM, DDR2 และ DDR3 (GDDR3) ซึ่งแต่ละชนิดต่างก็มีประสิทธิภาพ และราคาที่แตกต่างกันไป


ตัวแปลงสัญญาณสู่จอภาพ (RAMDAC)

RAMDAC หรือ RAM Digital-to-Analog Convertor เป็นชิปที่ทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิจิตอลใน RAM ให้เป็นสัญญาณอนาล็อกเพื่อส่งไปยังจอภาพ โดยการวนอ่านข้ อมูลซ้ำๆกันไปเรื่อยๆตามอัตรา Refresh Rate ซึ่งยิ่งตั่งให้สูงเท่าไรก็ต้แงทำงานเร็วขึ้นเท่านั้น เช่น Refresh Rate 75 Hz ก็คือ RAMDAC จะต้องวนอ่านข้อมูลไปสร้างภาพซ้ำๆกัน 75 ครั้งต่อวินาทีตามไปด้วย ดังนั้นยิ่ง RAMDAC มีความเร็วสูงมากก็ยิ่งรับ Refresh Rate ได้สูงตามไปด้วย เช่น RAMDAC ที่ 300 MHz ก็น่าจะให้ภาพที่มีคุณภาพดีกว่ารุ่นที่มีความเร็วแค่ 150 MHz เป็นต้น

ช่องสัญญาณหรือช่องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆเป็นช่องต่างๆของการ์ดจอที่เอาไว้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก เช่น จอภาพ (CRT/LCD) จอโทรทัศน์ และกล้องถ่ายวิดิโอ เป็นต้น สำหรับการ์ดจอโดยทั่วๆไปในปัจจุบันมักจะมีช่องต่างๆดังนี้
D-Sub (VGA) หรือ VGA Connector เป็นคอนเน็คเตอร์แบบ 15-Pin รูปตัว D มักพบเห็นได้ทั่วไป ใช้สำหรับสีญญาณภาพแบบอนาล็อก (Analog) ที่ต่อจากการ์ดแสดงผลไปยังจอภาพ ซึ่งต่อชนิดนี้จะมีทั้งที่ใช้กับจอ CRT, LCD และ Projector ด้วย


DVI Connector ใช้สำหรับการส่งสัญญาณภาพแบบดิจิตอล (Digital) ไปยังจอภาพ ซึ้งจอภาพที่ใช้จะต้องเป็นแบบที่รับสัญญาณดิจิตอลได้ด้วยเช่นกัน ข้อดีคือไม่ต้องผ่านการแปลงให้เป็นสัญญาณอนาล็อกก่อน ภาพได้จึงนิ่งสนิทและมีความเพี้ยนน้อยที่สุด ปัจจุบันมักพบเห็นได้ทั่วไปบนการ์ดแสดงผลจอ LCD รุ่นใหม่ๆ


S-Video ใช้สำหรับส่งสัญญาณภาพออกสู่จอทีวีผ่านสาย S-Video สัญญารภาพที่ถูกส่งอออกไปจะมีความละเอียดคมชัดกว่าช่องต่อ TV-Out ด้วยเหตุนี้การ์ดจอรุ่นใหม่ๆจึงมักจะมีช่องต่อ S-Video นี้มาให้แทน TV-Out เสมอ

TV-Out หรือช่องต่อ Composite ใช้สำหรับส่งสัญญาณภาพไปสู่จอทีวีผ่านทางสาย AV เพื่อเสียบเข้ากับช่อง Video-in ของจอทีวี แต่สัญญาณภาพที่ได้จะมีคุณภาพต่ำกว่า S-Video ดังนั้นส่วนใหญ่จึงมักจะบบพบช่องต่อ TV-Out นี้บนการ์ดจอรุ่นเก่าๆ

ชนิดของจอภาพ



จอภาพชนิด CRT

จอภาพชนิดนี้ มีหลักการทำงานคล้ายเครื่องรับโทรทัศน์ คือ ยิงลำอิเล็กตรอนไปกระทบกับสารเรืองแสง Phosphor ที่ ฉาบอยู่ที่ผิวจอภาพด้านในผ่าน"หน้ากาก" ซึ่งเป็นแผ่นโลหะมีรูอยู่ตามจุดของ Phosphor ทำให้เกิดแสงสีต่างๆ ขึ้นบนจอ ภาพตามแต่รูปแบบของสัญญาณภาพที่ส่งผ่านมาจาการ์ดแสดงผล
ในท้องตลาดไปปัจจุบันยังคงนิยมใช้จอภาพชนิดนี้ เนื่องจากมีราคาถูก แต่มีข้อเสียคือ มีความหนา และน้ำหนัก มาก โดยหน้าจอจะมีความโค้งทำให้เกิดการสะท้อนของแสงมากทำให้ปวดตาได้ง่าย แต่โดยรุ่นใหม่ จะมีการออกแบบ ให้มี ความแบบ ราบมากขึ้นได้แก่จอภาพตระกูล Trinitronของโซนี่ เป็นต้น ซึ่งจอภาพประเภทนี้ จะให้ภาพที่มี ความคม ชัดและสว่างมากกว่า เดิม
จอภาพชนิด LCD

จอภาพ LCD (Liquid Cystal isplay) เป็นจอภาพแบบแบนมีขนาดเล็กบางและน้ำหนักเบา มีหลักการทำงานคือ ภายในจะมีหลอดฟลูออเรสเซนต์ ทำหน้าที่ใช้แสงสว่างออกมาผ่านชั้นของผนึกเหลวที่เรียกว่าLiquid Crystal และผ่าน polarizer เพื่อให้แสงในแนวต่างๆ ผ่านมาตามการบิดตัวของแสงโดยผ่าน ฟิลเตอร์ สีอีกชั้นหนึ่ง ทำให้เกิดเป็นจุดสีแดงต่อ เนื่องกัน ออกมาเป็นภาพสีบนหน้าจอ
สำหรับจอ LCD ในปัจจุบันมักเป็น แบบ TFT (Thin-Film Transistor) เพราะจะให้ภาพที่มีความสว่างสีสันสด ใส และคมชัดกว่าจอ LCD แบบ STN แต่เดิมจอภาพชนิดนี้จะมีใช้เฉพาะในเครื่องโน๊ตบุ๊ค แต่ปัจจุบันเริ่มมีใช้กันในเครื่อง แบบตั้งโต๊ะกันแล้ว โดยมีขนาดใหญ่ถึง 22"สำหรับเครื่องโน๊ตบุ๊คจะมีขนาดใหญ่สุดประมาณ 16"
ในท้องตลาดไปปัจจุบันยังคงนิยมใช้จอภาพชนิดนี้ เนื่องจากมีราคาถูก แต่มีข้อเสียคือ มีความหนาและน้ำหนักมาก โดยหน้าจอจะมีความโค้งทำให้เกิดการสะท้อนของแสงมากทำให้ปวดตาได้ง่าย แต่โดยรุ่นใหม่จะมีการออกแบบให้มีความแบบ ราบมากขึ้นได้แก่จอภาพตระกูล Trinitronของโซนี่ เป็นต้น ซึ่งจอภาพประเภทนี้จะให้ภาพที่มีความคมชัดและสว่างมากกว่าเดิม
การเลือกซื้อจอภาพ
สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อจอคอมพิวเตอร์ตอนนี้อาจจะกำลังสงสัยหรือสับสนอยู่บ้าง เนื่องจากปัจจุบันนี้มีจอคอมพิวเตอร์ให้เลือกจำนวนมากมายหลายรุ่น หลายยี่ห้อ รวมทั้งขนาดหน้าจอที่แตกต่างกันออกไป วันนี้ผมอยากจะขอนำเสนอแนวทางการเลือกซื้อจอคอมพิวเตอร์แบบง่ายๆ มาช่วยให้คุณมีข้อมูลในการเลือกซื้อได้มากขึ้น
1. ขนาดหน้าจอ ส่วนนี้เป็นส่วนแรกที่คุณจะต้องคำนึงถึงก่อนนะครับว่า คุณต้องการจอคอมพิวเตอร์ขนาดเท่าไหร่? เพราะขนาดหน้าจอที่ใหญ่ก็ยิ่งจะช่วยให้มีพื้นที่ในการใช้งานบนหน้าจอมากขึ้น หรือถ้าคุณต้องการนำไปเพื่อเล่นเกมส์หรือชมภาพยนตร์ผ่านคอมพิวเตอร์ ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ก็จะยิ่งทำให้ได้อรรถรสในการรับชมมากยิ่งขึ้น (แต่ราคาก็จะสูงตามขึ้นไปด้วยนะครับ)
ขนาดหน้าจอที่มีอยู่ในปัจจุบันก็คือ 15 นิ้ว, 17 นิ้ว, 18.5 นิ้ว, 19 นิ้ว, 20-27 นิ้วครับ ถ้าผมแนะนำขนาดหน้าจอ 19 นิ้วจะเหมาะที่สุด
2. ความละเอียดหน้าจอ (Resolution) โดยยิ่งความละเอียดมากภาพยิ่งคมชัด แต่ความละเอียดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการ์ดจอที่ใช้งานด้วยนะครับ ซึ่งถ้าเป็น Notebook ขนาดหน้าจอปกติ (14 นิ้ว) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 1366 x 768 ส่วนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบ Wide Screen ความละเอียดที่ใช้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 1440 x 900 ครับ ความละเอียดสูงๆ จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเมื่อใช้เล่นเกมส์ที่สามารถปรับความละเอียดสูงๆ ได้ดีด้วย
3. อัตราส่วนของจอ โดยปัจจุบันอัตราส่วนของจอภาพในปัจจุบันจะมี 16:9 16:10 และ 4:3 ซึ่งอัตราส่วนเหล่านี้เป็นอัตราส่วนของจอในแบบความยาวต่อความสูง โดยแบบ16:9 และ 16:10 เป็นจอแบบ Wide Screen ซึ่งเป็นหน้าจอเน้นความกว้าง เหมาะกับการทำงานที่ใช้พื้นที่ด้านข้างมาก เช่นโปรแกรมตกแต่งภาพ หรือไว้สำหรับชมภาพยนตร์ที่เป็นขนาดเหมือนในโรงหนัง คือมีความกว้างมากส่วน 4:3 เป็นแบบหน้าจอโทรทัศน์ปกติ
4. ช่องเชื่อมต่อ (Port) ซึ่งปัจจุบันจะมีช่องเชื่อมต่อพื้นฐานคือ VGA port (สังเกตว่าหัวของ Port ตัวนี้จะเป็นสีน้ำเงินครับ) หรือ DVI Port (หัวจะเป็นสีขาวครับ) และหลังๆ จะมีช่องสำหรับการเชื่อมต่อแบบ HDMI เพื่อเสียบต่อออกจอโทรทัศน์แบบ LCD หรือ LED หรือเครื่องเล่น DVD หรือ Blu-ray
5 การรับประกัน Dead/Bright Pixel คือเป็นการรับประกันจุดเสียบนหน้าจอ ยิ่งรับประกันที่ dot น้อยยิ่งดี ซึ่งบางที่หากเกิด Dead/Bright Pixel เพียงจุดเดียวก็สามารถเคลมจอใหม่ได้
6 อย่าลืมด้วยการลองดูการแสดงภาพจริงๆ ก่อนซื้อ โดยนอกจากการดูสภาพของจอภายนอกแล้ว อย่าลืมทดสอบ Dead Pixel ที่ร้านเลยด้วย วิธีคือให้เค้าเปิดหน้าจอแสดงสีทั้งหน้าจอเป็นสีเดียว เช่น แดง น้ำเงิน เขียว เหลือง (ร้านขายจอมักจะมีโปรแกรมนี้อยู่แล้ว) แล้วดูอย่างละเอียดว่ามีจุดบอดของสีหรือเปล่าครับ หากมีก็ขอเปลี่ยนใหม่ก่อนเลย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น